อันดับ 10

ปิดฟังก์ชัน diagnostic
อีกฟังก์ชันที่คาดว่ามีผลแง่ลบต่ออายุแบตเตอรี่ใน iOS 6 คือ Diagnostic
& Usage data หรือการส่งข้อมูลการใช้งานดาต้าผ่านทางเครือข่ายไร้สาย
ดังนั้นควรเลือกที่ Don't Send ที่เมนู Settings คลิกที่ General เลือก
About ตามด้วย Diagnostics & Usage
อันดับ 9

ปิดการแจ้งเตือน Notifications
เป็นเรื่องที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการแจ้งเตือนหรือ notification
นั้นผลาญแบตเตอรี่มากเพียงใด โดยพื้นที่ notification Center ใน iOS
นั้นทำให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมของกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนระบบได้ดี
แต่ก็ต้องแลกกับอายุแบตเตอรี่ที่หมดลงรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ต้องตั้งค่าที่เมนู
Settings เลือก Notifications
ผู้ที่ไม่แคร์สิ่งใดอาจจะเลือกปิดการทำงานของ Notification Center
ได้อย่างไม่รีรอ
แต่สำหรับผู้ที่ยังติดเครือข่ายสังคมจะสามารถเลือกดูการเตือนของบางแอปพลิเค
ชันเมื่อเครื่องถูกล็อคหน้าจอได้ โดยสามารถเลือก Alert Style
ว่าต้องการให้ข้อความปรากฎที่พื้นที่ใดของจอภาพ
ซึ่งจะทำให้สามารถประหยัดแบตเตอรี่มากกว่าการต้องเปิดหน้าจอทั้งหมด
อันดับ 8

ปิดบริการอิงสถานที่ (location)
ใครคิดว่า iOS 5
มาพร้อมคุณสมบัติด้านบริการอิงสถานที่แล้ว iOS 6
นั้นมีคุณสมบัติมากกว่าอย่างชัดเจน
ซึ่งแม้จะมีประโยชน์แต่คุณสมบัตินี้กลับเป็นผลแง่ลบต่ออายุแบตเตอรี่ของ
อุปกรณ์
ปิดคุณสมบัตินี้ได้ที่เมนู Settings เลือก Privacy คลิกที่ Location
Services
จุดนี้ทุกคนสามารถเลือกเปิดการทำงานอิงสถานที่กับบางแอปพลิเคชันได้ตามต้อง
การ
ขณะเดียวกัน ผู้ใช้ iOS 6 ควรเลื่อนไปที่ด้านท้ายของหน้า Locations
Services แล้วคลิกที่เมนู System Services
จากนั้นให้ปิดการทำงานของฟังก์ชัน Location Based iAds และฟังก์ชัน Setting
Time Zone ซึ่งเมื่อปิดแล้ว
เวลาในเครื่องก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพราะเครื่องจะแสดงเวลาตามระบบของผู้
ให้บริการในท้องถิ่นอยู่แล้ว
อันดับ 7

เปิดโหมดใช้งานบนเครื่องบิน Airplane Mode
นี่คือทางลัดในการปิดการเชื่อมต่อทุกเครือข่ายบน
iPhone เพียงเปิดโหมด Airplane Mode ด้วยการเข้าเมนู Settings เลือก
Airplane Mode ซึ่งเมื่อเครื่องอยู่ในโหมดนี้
ทุกคนจะสามารถเลือกเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi และ Bluetooth ได้หากต้องการ
อันดับ 6

ปิดการเชื่อมต่อ
หลายบทความแนะนำให้ผู้ใช้ปิดการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ
Bluetooth หรือ 3G ด้วยการคลิก off หรือปิด แต่สำหรับ Wi-Fi
เราขอแนะนำให้คุณปิดการทำงานฟังก์ชัน Ask to Join Networks
ซึ่งสามารถกดเปิดเมื่อต้องการค้นหา Wi-Fi เท่านั้น โดยฟังก์ชัน Ask to Join
Networks จะมีอยู่ในเมนู Settings เลือกที่ Wi-Fi
สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ
สามารถตั้งค่าปิดการทำงานที่เมนู Settings เลือก General คลิก Cellular
เช่นเดียวกับ Bluetooth (เลือกที่ Settings > Bluetooth)
ซึ่งควรเลือกเปิดเมื่อต้องการใช้งานเท่านั้น
อันดับ 5

เปิดฟังก์ชันล็อคหน้าจออัตโนมัติ
ต้องบอกว่าหลายคนเห็นความแตกต่างของอายุแบตเตอรี่อย่าง
ชัดเจนระหว่างอุปกรณ์ที่เปิดและไม่เปิดการล็อคหน้าจออัตโนมัติ
การเปิดฟังก์ชันนี้จะทำให้หน้าจอเครื่องถูกพักการทำงานเมื่อไม่ได้เปิดใช้
ซึ่งทุกคนสามารถตั้งค่าได้ว่าต้องการให้ปิดหน้าจอ 1 หรือ 2
นาทีหากพบว่าหน้าจอไม่มีการใช้งาน ซึ่งไม่เพียงจะช่วยประหยัดแบตเตอรี่
แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของฮาร์ดแวร์อื่นๆในเครื่องได้ด้วย
วิธีการเปิดฟังก์ชันนี้ คือเลือกเมนู Settings คลิกที่ General
และเปิดฟังก์ชัน Auto-Lock
อันดับ 4

อัปเดทแอปพลิเคชันในเครื่อง
หลายคนอาจไม่รู้ว่า
การอัปเดทแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดมาในเครื่องก็เป็นวิธีช่วยยืดอายุ
แบตเตอรี่เครื่องอย่างได้ผล เพราะแม้แอปพลิเคชันเดิมในเครื่องจะทำงานได้ดี
แต่แอปพลิเคชันเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานกับระบบปฏิบัติการบางเวอร์ชัน
ได้ดีที่สุด ดังนั้นเมื่อมีการอัปเดทระบบปฏิบัติการใหม่
จงอย่าลืมที่จะอัปเดทแอปพลิเคชันในเครื่องให้รองรับระบบปฏิบัติการใหม่ด้วย
อันดับ 3

ปิดการทำงานแอปเบื้องหลัง
แม้จะเรียกแอปพลิเคชันใหม่ขึ้นมาใช้งาน
แต่แอปพลิเคชันที่ถูกเปิดขึ้นมาใช่งานก่อนหน้านี้ยังทำงานอยู่
แอปพลิเคชันเหล่านี้จะถูกเรียกว่า background app
หรือแอปที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ซึ่งแม้ background app
ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีผลต่อแบตเตอรี่เครื่อง แต่หากเป็นแอปพลิเคชันประเภท GPS
สำหรับการนำทาง ก็สามารถสูบแบตเตอรี่จากเครื่องได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น
iOS รุ่นใด
คำแนะนำในข้อนี้จึงเน้นการปิด background apps ให้บ่อยครั้ง
วิธีการคือการกดปุ่มโฮม (Home button) ติดกัน 2
ครั้งเพื่อเปิดแถบมัลติทาสกิ้งหรือ multitasking bar
จากนั้นกดค้างไว้ที่รูปไอคอนแอปพลิเคชัน
แล้วจึงเริ่มแตะที่เครื่องหมายลบซึ่งอยู่มุมบนขวาของไอคอนแอปพลิเคชันเหล่า
นั้น
อันดับ 2

ปรับความสว่างหน้าจอ
นี่คือวิธีที่ง่ายที่สุดในการยืดอายุใช้งานแบตเตอรี่ ผู้ใช้ iPhone 4 ที่เคยอัปเดทจาก iOS 4 เป็น iOS 5 อาจจะเคยพบประสบการณ์ถูกเลื่อนความสว่างเป็นระดับขีดสุดมาแล้ว ซึ่งเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นอีกเมื่ออัปเดทจาก iOS 5 เป็น iOS 6 ดังนั้นลองตรวจสอบระดับความสว่างหน้าจอของเครื่อง แล้วปรับลดลงหากมันสว่างเกินความจำเป็น โดยเข้าไปตั้งค่าที่เมนู Settings เลือกที่ Brightness & Wallpaperอันดับ 1

ปรับทัศนคติ
Adrian Kingsley-Hughes แห่งคอลัมน์ Hardware 2.0 ของสำนักซีดีเน็ตบรรยายไว้ว่า เคล็ดข้อแรกที่เขาต้องการแนะนำชาว iPhone และ iPad ที่อัปเดทเป็น iOS6 คือการไม่ต้องทำอะไร หรือแปลอีกนัยหนึ่งคือ"เคล็ดลับคือไม่มีเคล็ดลับ" (tip is actually an anti-tip) นักเขียนหนุ่มรายนี้เชื่อว่า อายุแบตเตอรี่ของเครื่องที่อัปเดทระบบปฏิบัติการอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิด โดยตั้งข้อสังเกตว่าคนจำนวนมากอาจจะอคติและโยนบาปให้ iOS 6 ทั้งที่ความจริงแล้วภาวะแบตเตอรี่เครื่องหมดเร็วนั้นเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ประกอบกัน ปัจจัยเหล่านั้นอาจได้แก่ การให้ความสนใจกับ iPhone หรือ iPad มากขึ้นหลังจากอัปเดทระบบปฏิบัติการใหม่, การทดลองใช้งานเครื่องอัปเดทใหม่มากกว่าเดิม หรือการลองใช้งานคุณสมบัติใหม่ เป็นต้น ตรงนี้นักข่าวของซีดีเน็ตชี้ว่า ผู้ใช้ iPhone และ iPad ทุกคนควรจะระลึกด้วยว่าอุปกรณ์ตระกูลไอของทุกคนนั้นมีอายุเกิน 1 ปีแล้ว ดังนั้นความสามารถของแบตเตอรี่ในเครื่องย่อมเสื่อมลง โดยเฉพาะอายุการใช้งานแบตเตอรี่ต่อเนื่องที่มักจะสั้นลง 10% ตามปกติทุกปี แปลว่าผู้ใช้ iPhone 4 ซึ่งแอปเปิลเคลมว่ามีอายุสแตนด์บายต่อเนื่อง 300 ชั่วโมง ก็จะถูกลดลงเป็น 270 ชั่วโมงในปีแรก และเหลือ 240 ชั่วโมงในปีที่ 2 และเหลือ 220 ชั่วโมงในปีที่ 3 นี่เป็นธรรมชาติของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่อุปกรณ์พกพาส่วนใหญ่ ใช้งาน ไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงกฎฟิสิกซ์นี้ไปได้ขอขอบคุณ
http://toptenthailand.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น